เริม

เริม: รักษาจากรากเซลล์ ด้วยพลังงาน ฟื้นฟูภูมิคุ้มกัน และโภชนาบำบัด

โรคเริม (Herpes Simplex Virus: HSV) เป็นโรคไวรัสเรื้อรังที่อยู่กับร่างกายตลอดชีวิต ผู้ป่วยหลายคนต้องทนกับอาการกำเริบซ้ำ ๆ โดยเฉพาะในช่วงเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือภูมิคุ้มกันตก แม้ยาต้านไวรัสจะช่วยยับยั้งการแพร่กระจายของไวรัสในช่วงที่กำเริบได้ดี แต่แท้จริงแล้ว จุดเริ่มของปัญหาอยู่ที่ความเสื่อมของระบบภูมิคุ้มกัน และพลังงานระดับเซลล์ที่ไม่สามารถควบคุมไวรัสแฝงได้


1. สาเหตุจากความบกพร่องของไมโทคอนเดรีย AMPK Sirtuin และ mTOR

ไวรัสเริมมีคุณสมบัติซ่อนตัวในปมประสาท และสามารถถูกกระตุ้นให้กลับมากำเริบได้เมื่อร่างกายอ่อนแอ หากมองลึกไปถึงระดับเซลล์ จะพบว่าระบบพลังงานและกลไกควบคุมภูมิคุ้มกันเป็นผู้ควบคุมสำคัญที่ทำให้เริมสงบหรือลุกลาม

  • ไมโทคอนเดรีย คือแหล่งพลังงานของเซลล์ โดยเฉพาะในเซลล์ภูมิคุ้มกัน เช่น T-cells หากไมโทคอนเดรียทำงานไม่เต็มที่ จะเกิดภาวะภูมิคุ้มกันล้า (immune exhaustion) ทำให้ไม่สามารถควบคุม HSV ได้
  • AMPK (AMP-activated protein kinase) เป็นเอนไซม์ที่ควบคุมการเผาผลาญพลังงาน และกระตุ้นการสร้างไมโทคอนเดรียใหม่ แต่จะถูกยับยั้งหากร่างกายได้รับพลังงานเกิน น้ำตาลสูง หรืออักเสบเรื้อรัง
  • Sirtuin โดยเฉพาะ SIRT1 และ SIRT3 เป็นโปรตีนที่ควบคุมการซ่อมแซมเซลล์ ลดการอักเสบ และเพิ่มความแข็งแรงของไมโทคอนเดรีย แต่จะทำงานลดลงหากร่างกายขาด NAD+
  • mTOR หากถูกกระตุ้นมากเกินจากโปรตีนหรืออินซูลินสูง จะทำให้กระบวนการ Autophagy (การกำจัดไวรัสแฝง) หยุดชะงัก และเปิดโอกาสให้เริมกลับมากำเริบได้

ดังนั้น การที่เริมกำเริบบ่อย ๆ อาจไม่ได้เป็นเพียงเพราะ “ภูมิคุ้มกันตก” อย่างที่เข้าใจกันทั่วไปเท่านั้น แต่คือ “การล่มสลายของระบบควบคุมพลังงานและภูมิคุ้มกัน” ที่ระดับลึกกว่านั้น


2. อาการของโรคเริม

อาการมักขึ้นอยู่กับชนิดของไวรัสและตำแหน่งที่ติดเชื้อ

  • HSV-1: มักเกิดที่ริมฝีปากหรือใบหน้า เป็นตุ่มน้ำใส เจ็บ บวม แดง มีไข้ อ่อนเพลีย
  • HSV-2: มักเกิดที่อวัยวะเพศ เจ็บแสบ ปวดเมื่อปัสสาวะ
  • อาการกำเริบมักสัมพันธ์กับ: เครียด นอนไม่พอ อาหารหวานจัด ดื่มแอลกอฮอล์ ประจำเดือน หรือระบบลำไส้ไม่สมดุล

หากไวรัสซ่อนตัวอยู่ในร่างกายโดยที่ภูมิคุ้มกันไม่สามารถควบคุมได้อย่างดี จะเกิดภาวะ “แฝงแล้วตื่น” เป็นระยะ ซึ่งสร้างความไม่สบายทั้งทางกายและใจอย่างมาก


3. แนวทางรักษาจากต้นเหตุ: ฟื้นฟูภูมิคุ้มกันและพลังงานระดับเซลล์

1) โภชนาบำบัดแบบคีโตเจนิค (Keto Therapeutic Protocol)

  • การลดคาร์โบไฮเดรตลงเหลือวันละ 20-50 กรัม
  • เพิ่มไขมันดี เช่น MCT oil, น้ำมันมะพร้าว, เนยแท้, อะโวคาโด
  • โปรตีนในปริมาณปานกลางเพื่อไม่กระตุ้น mTOR เกินไป
  • ลดน้ำตาลและของแปรรูปให้มากที่สุด

Keto จะช่วยลดการอักเสบ เพิ่ม ketone bodies ที่มีฤทธิ์ต้านไวรัส และกระตุ้น AMPK กับ Sirtuin ให้ทำงานได้เต็มที่

2) Intermittent Fasting 18/6

การเว้นระยะกินอาหาร 18 ชั่วโมง และกินภายใน 6 ชั่วโมง จะ:

  • กระตุ้น Autophagy ช่วยให้เซลล์ทำความสะอาดตนเอง
  • เพิ่ม NAD+ และกระตุ้น Sirtuin
  • ฟื้นฟูไมโทคอนเดรียและลดการอักเสบเรื้อรัง

3) เสริมสารอาหารสำคัญ

  • L-Lysine: ลดการเพิ่มจำนวนของไวรัสเริม (ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มี L-Arginine สูง เช่น ถั่ว ช็อกโกแลต)
  • วิตามิน C, D, Zinc, Selenium: เสริมภูมิคุ้มกัน
  • NAD+ precursors (NMN, NR): ฟื้นฟู Sirtuin และพลังงานเซลล์
  • เรสเวอราทรอล, เคอร์คูมิน, EGCG: ต้านการอักเสบและไวรัสจากธรรมชาติ

4) ไลฟ์สไตล์เพื่อระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง

  • นอนหลับลึก 7-8 ชม. ช่วงเวลา 22.00–04.00 น. สำคัญที่สุด
  • ออกกำลังกายเบาๆ เป็นประจำ เช่น เดินเร็ว โยคะ
  • แสงแดดยามเช้า + grounding ช่วยฟื้นจังหวะชีวภาพและลดความเครียด
  • ฝึกสมาธิ หายใจลึก หรือใช้เสียงความถี่บำบัด ลดความเครียดที่เป็นตัวกระตุ้นไวรัสเริม

4. สรุป: ทางรอดที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ที่ยา แต่อยู่ที่พลังของร่างกายเราเอง

โรคเริมคือบททดสอบของระบบภูมิคุ้มกันแบบลึก ไม่ใช่แค่เรื่อง “ติดเชื้อไวรัส” เท่านั้น แต่คือสัญญาณว่าร่างกายกำลังขาดพลังงาน ขาดการฟื้นฟู และไม่สามารถควบคุมสิ่งแปลกปลอมได้อีกต่อไป การใช้ยาต้านไวรัสเป็นการดับไฟชั่วคราว แต่หากต้องการ “ไม่ให้ไฟลุกซ้ำ” จำเป็นต้องฟื้นฟูตั้งแต่ต้นเหตุ — ที่ระบบพลังงานของเซลล์ และการดูแลตนเองอย่างลึกซึ้ง

แนวทางแบบ อโรคาโภชนา หรือ “การกินเพื่อไม่ให้เกิดโรค” จึงเป็นกุญแจสำคัญ ไม่ใช่แค่เพื่อระงับอาการเริม แต่เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันที่แท้จริงจากภายใน ร่างกายของเราจะสามารถควบคุมไวรัสได้ด้วยตัวเอง หากเราเติมพลังงานให้เซลล์ ฟื้นฟูไมโทคอนเดรีย และคืนความสมดุลให้ระบบทั้งหมดอย่างครบองค์รวม

ใส่ความเห็น