โรค SLE: เมื่อภูมิคุ้มกันหลงทาง ฟื้นคืนสมดุลได้จากระดับเซลล์
โรค SLE หรือ Systemic Lupus Erythematosus คือโรคแพ้ภูมิตนเอง (Autoimmune Disease) ที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันเข้าใจผิดและโจมตีอวัยวะของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นผิวหนัง ข้อต่อ ไต หัวใจ หรือสมอง อาการของโรคมักมีลักษณะเรื้อรังและกำเริบเป็นช่วง ๆ การรักษาทั่วไปมักเน้นการกดภูมิคุ้มกันเพื่อควบคุมอาการ แต่การรักษาที่ “ต้นเหตุ” ต่างหากคือหนทางฟื้นฟูสุขภาพที่ยั่งยืน
1. สาเหตุ: ไมโทคอนเดรียเสื่อมสมรรถภาพ และความไม่สมดุลของ AMPK – SIRTUIN – mTOR
แม้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของ SLE แต่งานวิจัยใหม่พบว่า “รากเหง้า” ของความผิดปกติในโรคนี้เกี่ยวข้องกับการทำงานผิดปกติของ ไมโทคอนเดรีย ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลักของเซลล์ รวมถึงการเสียสมดุลของโมเลกุลควบคุมการเผาผลาญและภูมิคุ้มกันในระดับเซลล์ ได้แก่:
- AMPK: เมื่อต่ำลงจะลดการสร้างพลังงานและเพิ่มการอักเสบในเซลล์
- SIRTUIN (โดยเฉพาะ SIRT1, SIRT3): มีบทบาทในการควบคุมภูมิคุ้มกัน ลดการอักเสบ ซ่อมแซม DNA หากทำงานลดลงจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแปรปรวน
- mTOR: หากทำงานมากเกินไปจะกระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์ภูมิคุ้มกันผิดปกติ และยับยั้ง Autophagy (กระบวนการกำจัดของเสียในเซลล์)
กลไกเหล่านี้ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย SLE เกิดการอักเสบเรื้อรัง ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ เกิดการทำลายเนื้อเยื่ออย่างต่อเนื่อง
2. อาการของโรค SLE
SLE เป็น “โรคร้อยหน้า” ที่แสดงอาการหลากหลายตามแต่ละบุคคล แต่โดยทั่วไปอาการที่พบบ่อย ได้แก่:
- ไข้ต่ำเรื้อรัง เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย
- ปวดข้อและกล้ามเนื้อ
- ผื่นแดงรูปปีกผีเสื้อที่แก้ม
- ผมร่วง ผิวแพ้ง่าย
- แพ้แสงแดด
- การทำงานของไตผิดปกติ (เช่น โปรตีนรั่ว)
- ระบบประสาทถูกกระทบ เช่น วิงเวียน ปวดหัว ชัก
อาการเหล่านี้มักเกิดเป็นระยะ ๆ สลับกับช่วงสงบ ซึ่งบ่งบอกถึงการทำงานของภูมิคุ้มกันที่ไม่คงที่และไม่นิ่ง
3. การรักษาที่ต้นเหตุ: ฟื้นสมดุลภูมิคุ้มกันจากระดับเซลล์
การรักษา SLE ในมุมของการแพทย์ทั่วไปมักใช้ยา เช่น สเตียรอยด์ หรือยากดภูมิคุ้มกัน ซึ่งช่วยลดอาการ แต่ก็มีผลข้างเคียงรุนแรงในระยะยาว เช่น ภาวะกระดูกพรุน เบาหวาน ความดันสูง ฯลฯ
หากต้องการรักษาให้ลึกถึง “ราก” การฟื้นฟูไมโทคอนเดรีย และการปรับโมเลกุลควบคุมระดับเซลล์ (AMPK – SIRTUIN – mTOR) คือกุญแจสำคัญ ซึ่งสามารถทำได้ผ่าน 3 เสาหลักของการฟื้นฟู:
3.1 โภชนาบำบัด: คีโตเจนิกเพื่อสมดุลพลังงานเซลล์
- การลดคาร์โบไฮเดรตและเพิ่มไขมันดี เช่น MCT oil, น้ำมันมะกอก, ปลาไขมันดี ช่วยให้เซลล์หันมาใช้ คีโตน ซึ่งสะอาดกว่าและลดอนุมูลอิสระ
- คีโตนช่วยกระตุ้น AMPK และเพิ่ม NAD+ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงให้ SIRTUIN ทำงาน
- การหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป น้ำตาล ขนมปัง พืชน้ำมัน (ที่มีโอเมก้า-6 สูง) จะลดภาระการอักเสบของร่างกาย
- เสริมสมุนไพรที่ช่วยกระตุ้น AMPK เช่น เบอร์เบอรีน กระชายดำ และเคอร์คูมิน
3.2 การทำ IF แบบ 18/6 (Intermittent Fasting)
- การอดอาหาร 18 ชั่วโมงและกินภายใน 6 ชั่วโมง ช่วยกระตุ้น Autophagy ให้เซลล์กำจัดโปรตีนเสียซึ่งเกี่ยวข้องกับ SLE
- เพิ่มการสร้าง SIRTUIN และลดการทำงานของ mTOR ซึ่งส่งผลให้ภูมิคุ้มกันไม่ทำลายตนเอง
- การทำ IF อย่างสม่ำเสมอยังช่วยลดระดับกลูโคสในเลือด ลดสารกระตุ้นการอักเสบ (AGEs)
3.3 ไลฟ์สไตล์ฟื้นฟูภูมิคุ้มกัน
- แสงแดดอ่อนตอนเช้า: กระตุ้น Vitamin D ซึ่งช่วยปรับภูมิคุ้มกัน ลดอาการของ SLE ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
- การนอนคุณภาพสูง: อย่างน้อย 7–8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายหลั่งเมลาโทนิน ซึ่งช่วยลด mTOR และเพิ่ม SIRT1
- ออกกำลังกายเบา ๆ: เช่น เดิน ปั่นจักรยานเบา ๆ หรือโยคะ ช่วยเพิ่ม AMPK และเพิ่มการไหลเวียน
- หลีกเลี่ยงสารเคมี สารก่อภูมิแพ้: เช่น น้ำหอม ยาฆ่าแมลง โลชั่นพาราเบน และอาหารที่มีวัตถุกันเสีย
- ลดความเครียด: ผ่านการทำสมาธิ หายใจลึก ดนตรีบำบัด หรือการใช้เสียง Solfeggio Frequencies ที่ช่วยให้ระบบประสาทฟื้นฟู
4. สุขภาพดี เริ่มจากการดูแลพลังชีวิตในระดับเซลล์
แม้โรค SLE จะยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดในปัจจุบัน แต่การฟื้นฟูสมดุลระดับเซลล์ โดยเฉพาะการดูแลไมโทคอนเดรีย การกระตุ้น AMPK และการส่งเสริม SIRTUIN ผ่านการกินอาหารดี อดอาหารอย่างมีระบบ และใช้ชีวิตอย่างสมดุล คือวิธีที่สามารถ “ควบคุม” และ “กลับสู่ภาวะสมดุล” ได้จริง
อาหารไม่ใช่แค่พลังงาน…แต่อาจเป็นยารักษาโรคได้ หากเรารู้จักเลือกสิ่งที่เข้าไปในร่างกาย หลักของ
อโรคาโภชนา –หรืออาหารที่ไม่ก่อโรค คือรากฐานสำคัญของการป้องกันโรคเรื้อรังทุกชนิด รวมถึง SLE และเมื่อเราให้พลังงานดีแก่เซลล์…ร่างกายจะเลือกฟื้นฟูตนเองได้อย่างน่ามหัศจรรย์