ซึมเศร้า: โรคจากรากลึกของความผิดปกติระดับเซลล์ ไม่ใช่แค่ความรู้สึกเศร้า
1. สาเหตุจากความบกพร่องของไมโทคอนเดรีย AMPK, Sirtuin และ mTOR
ภาวะซึมเศร้าไม่ใช่แค่เรื่องของอารมณ์ แต่เป็นสัญญาณของการทำงานผิดปกติของระบบพลังงานในระดับเซลล์ โดยเฉพาะ “ไมโทคอนเดรีย” ที่ทำหน้าที่ผลิตพลังงานให้กับร่างกายและสมอง การที่ไมโทคอนเดรียทำงานลดลงส่งผลให้สมองขาด ATP ซึ่งเป็นพลังงานหลัก ส่งผลต่อการสังเคราะห์สารสื่อประสาท เช่น เซโรโทนิน โดพามีน และ GABA ที่เกี่ยวข้องกับความสุขและความสงบ
AMPK (AMP-activated protein kinase) คือเซ็นเซอร์พลังงานในเซลล์ ซึ่งเมื่อทำงานดีจะกระตุ้นกระบวนการสร้างพลังงานและฟื้นฟูไมโทคอนเดรีย แต่ถ้า AMPK ถูกยับยั้งจากน้ำตาลและอินซูลินสูง จะทำให้เซลล์เข้าสู่ภาวะอักเสบเรื้อรัง และนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าได้
Sirtuin (โดยเฉพาะ SIRT1) คือโปรตีนที่ช่วยยืดอายุเซลล์ ซ่อมแซม DNA และกระตุ้นการทำงานของไมโทคอนเดรีย เมื่อระดับ NAD+ ต่ำลงจากอายุหรือการบริโภคอาหารผิด สมองจะขาดกลไกฟื้นฟูตัวเอง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้า
mTOR (mechanistic Target of Rapamycin) มีหน้าที่ควบคุมการเติบโตและซ่อมแซมเซลล์ หากมีการกระตุ้น mTOR มากเกินไปจากโปรตีนและน้ำตาล จะทำให้เซลล์สะสมความเสียหายมากขึ้น และไม่สามารถเข้าสู่โหมดซ่อมแซม ส่งผลต่อสมองโดยตรง
กล่าวโดยสรุป ระบบพลังงานของสมองเมื่อเสียสมดุลจากภาวะดื้อต่ออินซูลิน ภาวะ NAD+ ต่ำ และการสะสมความเสียหายจาก mTOR สูง ทำให้เกิด “ซึมเศร้า” ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของอารมณ์ แต่เป็นความป่วยไข้ที่มีรากลึกในระดับชีววิทยา
2. อาการของภาวะซึมเศร้า
ภาวะซึมเศร้าไม่ได้แสดงออกเพียงแค่ “ความเศร้า” แต่มีอาการหลากหลายที่สะท้อนถึงการทำงานผิดปกติของสมอง เช่น:
- ความรู้สึกหมดพลัง ขี้เกียจ แม้นอนมากก็ยังรู้สึกเหนื่อย
- ไม่มีสมาธิ ขาดความคิดสร้างสรรค์
- หงุดหงิดง่าย เบื่อหน่าย ไม่มีความสุขในสิ่งที่เคยชอบ
- อาการปวดเรื้อรัง โดยเฉพาะบริเวณหัวไหล่ คอ และหลัง
- พฤติกรรมการกินผิดปกติ เช่น อยากของหวาน ของทอด
- ความต้องการทางเพศลดลง
- ในระยะยาว อาจมีแนวโน้มคิดทำร้ายตนเองหรือฆ่าตัวตาย
สิ่งสำคัญคือ อาการเหล่านี้ไม่ได้บ่งบอกถึง “ความอ่อนแอ” ของบุคคล แต่คือสัญญาณว่าร่างกายกำลังทำงานผิดปกติระดับเซลล์ ที่ต้องได้รับการฟื้นฟู ไม่ใช่แค่ระงับด้วยยา
3. วิธีรักษาที่ต้นเหตุ: โภชนาบำบัด + คีโต + IF18/6 + ไลฟ์สไตล์บำบัด
แทนที่จะใช้ยาเพียงอย่างเดียวซึ่งมักรักษาได้แค่ “ปลายเหตุ” แนวทางการฟื้นฟูที่ต้นเหตุต้องเริ่มจากการแก้สมดุลพลังงานในระดับเซลล์ ด้วย 4 แนวทางหลักคือ:
1. โภชนาบำบัด (Nutritional Therapy):
เน้นอาหารที่ฟื้นฟูไมโทคอนเดรีย เช่น ไขมันดี (MCT oil, น้ำมันมะกอก), โปรตีนคุณภาพจากปลา, ไข่, และอาหารที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ควอซิทิน เรสเวอราทรอล
หลีกเลี่ยงน้ำตาล แป้งขัดขาว และน้ำมันพืชโอเมก้า-6 ซึ่งทำให้เกิดการอักเสบและทำลายสมดุล AMPK-Sirtuin
2. คีโตเจนิคไดเอต (Ketogenic Diet):
การเปลี่ยนแหล่งพลังงานหลักจากกลูโคสมาเป็นคีโตนบอดี้ (เช่น Beta-Hydroxybutyrate) ช่วยกระตุ้น AMPK และเพิ่ม SIRT1 ทำให้ไมโทคอนเดรียผลิตพลังงานได้ดีขึ้น สมองจึงรู้สึกปลอดโปร่งและสงบ
3. การอดอาหารแบบมีแบบแผน (IF18/6):
รูปแบบ 18/6 คืออดอาหาร 18 ชั่วโมง กินอาหารภายใน 6 ชั่วโมง ทำให้ระดับอินซูลินต่ำลง กระตุ้นการทำงานของ AMPK, เพิ่ม NAD+, ส่งเสริมการรีไซเคิลเซลล์เสีย (Autophagy) และลด mTOR อย่างเหมาะสม ส่งผลให้สมองฟื้นฟูตัวเองได้ดีขึ้น
4. ไลฟ์สไตล์บำบัด:
- นอนให้สนิท (7–8 ชั่วโมง) เพื่อให้เกิดการหลั่งเมลาโทนินและฟื้นฟูไมโทคอนเดรีย
- ออกกำลังกายแบบ HIIT หรือเดินกลางแจ้ง เพื่อกระตุ้น BDNF (Brain-Derived Neurotrophic Factor) ซึ่งช่วยฟื้นฟูเซลล์สมอง
- รับแสงแดดเช้าเพื่อรีเซ็ตวงจรฮอร์โมน
- ฝึกสมาธิ สวดมนต์ หรือทำกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับ “ความหมายในชีวิต” เพื่อเสริมการหลั่งสาร GABA และโดพามีนตามธรรมชาติ
4. อโรคาโภชนา: ทางเลือกใหม่เพื่อสุขภาพกาย ใจ และสมอง
อโรคาโภชนา -ไม่ใช่แค่อาหารเพื่ออิ่ม แต่คืออาหารที่ออกแบบมาเพื่อไม่ให้เกิดโรค ฟื้นฟูเซลล์สมองระดับลึก ผ่านการใช้วัตถุดิบที่กระตุ้น AMPK และ Sirtuin และลดการกระตุ้น mTOR อย่างพอเหมาะ ด้วยพลังจากพืช สมุนไพรธรรมชาติ และไขมันดี แนวคิดนี้ไม่ได้รักษาแค่ซึมเศร้า แต่ส่งเสริม “ความสุขยั่งยืน” จากภายใน
เพราะการดูแลสุขภาพจิตอย่างแท้จริง ต้องเริ่มจากการดูแลพลังงานชีวิตที่ต้นเหตุ ไม่ใช่แค่บรรเทาอาการที่ปลายเหตุ